ทรัพยากรป่าไม้ถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะความสามารถในการช่วยดูดซับมลพิษที่ถูกปลอดปล่อยจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมเติบโตอย่างก้าวกระโดด ประชากรมนุษย์ที่มีเพิ่มมากขึ้น ความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อตอบสนองปัจจัยสี่ของมนุษย์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้มลพิษและมลภาวะต่างๆ เกินขีดความสามารถที่ธรรมชาติป่าไม้รองรับได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่างๆ มากมายที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติและมีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในยุคอนาคตที่ต้องเผชิญ
สถานการณ์ป่าไม้ของประเทศในปัจจุบันค่อนข้างทรงตัว จากสถิติเนื้อที่ป่าไม้ของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2556-2565 พบว่า พื้นที่ป่าไม้ฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 31 ของประเทศ (กรมป่าไม้, 2566) ซึ่งในบางพื้นที่ป่ามีความเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเดิมเป็นพื้นที่ถูกบุกรุกทำเกษตรกรรม และถูกลักลอบตัดไม้ แม้ว่ากรมป่าไม้สามารถเวนคืนผืนป่าได้ทั้งหมดแล้วและป้องกันไม่ให้ถูกบุกรุกซ้ำ แต่ผืนป่าเหล่านั้นถูกทำลายระบบนิเวศความเป็นป่าเดิมไปแล้วทั้งสิ้น ฉนั้น การปกป้องผืนป่าผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงมีความสำคัญ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการป้องปก ดำรุง ดูแลรักษาป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ได้กำหนดเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 40 ของประเทศ แบ่งเป็นป่าอนุรักษ์ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25, ป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชน รวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของประเทศ
ปัจจุบันสังคมเมืองขยายตัวเพิ่มขึ้นและใกล้ชิดกับขอบเขตผืนป่ามากขึ้นด้วย ดังนั้น การส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชนกับหน่วยงานรัฐและเอกชน จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก จากสถิติพื้นป่าชุมปัจจุบัน มีเนื้อที่ทั้งหมด 6,308,712 ไร่ หรือประมาณร้อยละ 1.96 ของประเทศ (กรมป่าไม้, 2566) ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน จึงเร็งเห็นถึงความจำเป็นในการประกาศใช้ระเบียบคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการป่าชุมชน พ.ศ. 2566 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 16 (4) มาตรา 50 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 และมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการป่าชุมชน เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการป่าชุมชนเป็นไปอย่างสมดุลและยั่งยืน ไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ระเบียบคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการป่าชุมชน พ.ศ. 2566 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 โดยมีเจตนารมณ์ในการส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนป่าชุมชน ด้วยทรัพยากรต่างๆ เช่น ทุนทรัพย์ องค์ความรู้ อุปกรณ์ รวมไปถึงการส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในหมวดที่ 3 การใช้ประโยชน์จากบริการป่าชุมชน ที่ส่งเสริมให้ป่าชุมชนสามารถนำเข้าร่วมโครงการ T-VER เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต ซึ่งการดำเนินโครงการอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกรมป่าไม้ โดยป่าชุมชนแห่งใดประสงค์เข้าร่วมโครงการ T-VER ให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนนั้นยื่นคำขอตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือยื่นคำขอพร้อมเอกสารหรือหลักฐานที่ระบุไว้ในแบบคำขอต่ออธิบดี ณ สำนักงานของกรมป่าไม้ในพื้นที่นั้นๆ รายละเอียดการดำเนินโครการ ดังนี้
- กำหนดให้กรมป่าไม้เป็นเจ้าของโครงการ คณะกรรมการจัดการป่าชุมชนเป็นผู้พัฒนาโครงการ และผู้สนับสนุนอื่นๆ เป็นผู้พัฒนาโครงการร่วม
- ผู้พัฒนาโครงการหรือผู้พัฒนาโครงการร่วม ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการ T-VER ทั้งหมด
- สัดส่วนการแบ่งปันคาร์บอน
- กรณีการปลูกและบำรุงรักษา
สัดส่วนของกรมป่าไม้ : ชุมชน : องค์กร —>> 5 : 5 : 90
- กรณีการอนุรักษ์ การฟื้นฟูป่าชุมชน และการจัดการป่าชุมชน
สัดส่วนของกรมป่าไม้ : ชุมชน : องค์กร —>> 10 : 40 : 50
ระเบียบดังกล่าวถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญเป็นอย่างมากในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการจัดการป่าชุมชนอย่างยังยืน โดยเฉพาะป่าชุมชนที่ขาดการจัดการและเสื่อมโทรมให้เกิดการฟื้นฟูสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ จากงบประมาณภายนอกและองค์ความรู้ต่างๆ รวมถึง การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนตามแนวเขตป่าชุมชน และเกิดความตระหนักและความหวงแหนผืนป่ามากยิ่งขึ้น